สารเภสัชรังสี มาจากสารเภสัช + สารกัมมันตรังสี หมายถึงสารประกอบกัมมันตรังสีซึ่งนำมาใช้ในการวินิจฉัยหรือรักษาโรคโดยที่ไม่มีผลทางสรีระที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
สารกัมมันตรังสีต่างจากสารเภสัชรังสีที่สารเภสัชรังสีมีโครงสร้างทางเคมี เช่น 131I เป็นสารกัมมันตรังสีและไม่ทราบโครงสร้างทางเคมีแต่ 123I NaI เป็นสารเภสัชรังสีที่ทราบการกระจายทางชีวภาพและการถูกขจัดออกจากร่างกาย
สารเภสัชรังสีในอุดมคติที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. ให้รังสีแกมมาเพียงอย่างเดียว ซึ่งสลายตัวด้วยขบวนการ electron capture หรือ isomeric transition สำหรับรังสีอัลฟาและเบตา ไม่นิยมใช้เนื่องจาก
1.1. มี linear energy transfer (LET) สูง หมายถึง พลังงานดูดกลืนในเนื้อเยื่อที่รังสีผ่านไปสูง เป็นเหตุให้ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีสูง
1.2. เนื่องจากรังสีอัลฟาและเบตามีอำนาจทะลุทะลวงต่ำทำให้ไม่สามารถทะลุผ่านผู้ป่วยไปถึงหัววัดรังสีที่จะถ่ายภาพได้ จึงไม่สามารถถ่ายภาพได้
2. พลังงานของรังสีที่เหมาะสมที่สุดคืออยู่ระหว่าง 100 keV และ 250 keV (สำหรับเครื่องแกมมา คาเมราและ SPECT)
3. Effective half-life .ในทางทฤษฎี Effective half-life ควรมีค่าประมาณ 1.5 เท่าของเวลาที่ใช้ในการตรวจ เนื่องจากเป็นเวลาที่จะให้ภาพที่มีคุณภาพที่ดีและผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีน้อย
4. ปริมาณสารเภสัชรังสีที่อวัยวะเป้าหมายสูงกว่าบริเวณอื่น เช่นในการถ่ายภาพต่อมไทรอยด์ สารเภสัชรังสีที่ต่อมไทรอยด์มีมากกว่าบริเวณอื่นๆแถวคอ ถ้าสารเภสัชรังสีไปที่อวัยวะเป้าหมายน้อยทำให้บริเวณอื่นได้รับปริมาณรังสีโดยไม่จำเป็น อีกทั้งทำให้คุณภาพของภาพถ่ายลดลงอาจเป็นเหตุให้ต้องทำการตรวจซ้ำ
5. ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับต้องน้อยที่สุดโดยที่คุณภาพของภาพดีที่สุด
6. ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย ซึ่งสำคัญมากที่สารเภสัชรังสีต้องไม่เป็นพิษต่อผู้ป่วย และไม่มีผลข้างเคียง
7. มีคุณสมบัติที่สามารถผสมกับสารประกอบอื่นๆได้
8. ราคาถูกและหาได้ง่าย
สารเภสัชรังสีในอุดมคติที่ใช้ในการรักษาโรค
1. ให้รังสีเบตา
2. เนื่องจากจุดมุ่งหมายในการใช้สารกัมมันตรังสีเพื่อทำลายเซลล์ ดังนั้นจึงนิยมใช้รังสีเบต้าพลังงานสูงโดยมี พลังงานสูงสุดมากกว่า 1 MeV
3. Effective half-life จะต้องไม่นานเกินไป
4. ปริมาณสารเภสัชรังสีที่อวัยวะเป้าหมายสูงกว่าบริเวณอื่น
5. ราคาถูกและหาได้ง่าย
No comments:
Post a Comment